วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555


RX-7 (FD3S) TYPE RS
13B-REW GREDDY T78-33D
MICROTECH MTX-8 BY DREAM SPORTS


     มาพบกับสปอร์ตตัวขาวอีกหนึ่งในฉบับนี้ จากค่าย MAZDA รุ่น SAVANNA RX-7 ในรหัสบอดี้ FD3S ที่มีสายการผลิตตั้งแต่ปี 1991 จนถึงปี 2002 หลายเวอร์ชั่นให้เลือก ตั้งแต่ TYPE X, TYPE R, TYPE R II, TYPE RS, TYPE S, TYPE RB, TYPE RS-R, TYPE RZ ยิบย่อยเพียบ แต่ในบ้านเราจะรู้จักเป็นบางรุ่นเท่านั้น อย่าง TYPE X หรือ TOURING X ที่ถือว่าหรูหรา เวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างมีมากในบ้านเรา ภายนอกที่แตกต่างเห็นจะเป็นซันรูฟที่มีมาให้ ด้วย เครื่องยนต์ระยะแรกมีเฉพาะเกียร์ออโตเมติก อัตราทดเฟืองท้าย 3.9 เท่านั้น แต่พักหลังคงทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว เลยผลิตรุ่นเกียร์ธรรมดาออกมา ด้วย อัตราทดเฟืองท้าย 4.1 ระบบแอร์คอนดิชั่นจะเป็นดิจิตอล พร้อม AIR BAG เครื่องเสียงอย่างดีจาก BOSE แต่มีน้ำหนักมากที่สุด


      ส่วนรุ่น TYPE R รุ่นนี้จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดาอย่างเดียว เฟืองท้าย 4.1 เบาะภายในจะเป็นกำมะหยี่ สวิตช์แอร์ยังเป็นแบบลูกบิด ไม่มี AIR BAG ไม่มีซันรูฟ ส่วน TYPE S เบาะจะเป็นผ้าธรรมดา แถมยังมีออปชั่นให้น้อยลง เครื่องยนต์มีทั้งเกียร์ธรรมดาและออโตเมติก อัตราทดเฟืองท้ายก็เหมือนรุ่น TYPE X ส่วนเวอร์ชั่น TYPE RZ รุ่นนี้จะทำมาในสไตล์ตัวแข่ง น้ำหนักจะเบากว่ารุ่นทั่ว ๆ ไป ภายในเลือกใช้เบาะแบบ FULL BUCKET SEAT จาก RECARO พวงมาลัย NARDI เรือนไมล์ขาว เครื่องยนต์รุ่นใหม่ MINOR CHANGE จะมีความแรงถึง 280 แรงม้า กล่องควบคุมใหม่สั่งการได้ไวขึ้น จาก 8 BIT เป็น 16 BIT และ ABS SYSTEM UPGRADE ช่วงล่าง BILSTEIN ล้อ BBS เอาเพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า เพราะมันยังมีปลีกย่อยอีกมากมาย รวมทั้งรถในเวอร์ชั่นนี้แต่ละปียังมีอะไรที่แตกต่างกันออกไปอีก จำกันไม่ไหว อาทิ กรอบเรือนไมล์รุ่นเก่าจะเป็นโครเมียม รุ่นใหม่จะเป็นสีดำ รวมทั้งลายและขนาดล้อแม็ก การออกแบบของไฟท้าย ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ น้ำหนักตัวรถและอื่น ๆ อีก
ภายนอก PANSPEED + VEILSIDE + RE SUPER G


     รถคันนี้เป็นเวอร์ชั่น TYPE RS ของนายชาย แห่งทีม GENESIS 1989 ซึ่งเมื่อก่อนเคยตกแต่งในสไตล์ RE SUPER G มาแล้วครั้งนึง แต่ล่าสุดได้รวมชุดแต่งเอาไว้หลายสำนัก โดยเริ่มจากกันชนหน้าสไตล์ MINOR CHANGE ที่เป็นของแต่งไม่ทราบสำนัก ฝากระโปรงหน้าน้ำหนักเบาจากค่าย PAN SPEED แบบที่มีช่องระบายความร้อนของหม้อน้ำ โดยมีตัวล็อกฝากระโปรงสไตล์ตัวแข่งจาก OMP ด้านข้างเปลี่ยนกระจกมองข้างมาใช้ของ VEILSIDE สเกิร์ตข้างยังคงเดิม TYPE RS พร้อมกับคิ้วล้อหลังจาก RE SUPER G ด้านท้าย เปลี่ยนไฟท้ายเป็นของรุ่น MINOR CHANGE พร้อมชุดครอบไฟท้ายที่เป็นเหมือนสปอยเลอร์ในตัวจากค่าย RE SUPER G
ภายใน มีบางส่วนที่เปลี่ยนไป...


      ห้องโดยสารออกแบบให้น่าเข้าไปจับต้องและกุมบังเหียนในสไตล์สปอร์ตนั้น ทางเจ้าของได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มของซิ่งเข้าไปอยู่หลายรายการด้วย เริ่มจากเบาะคนขับเปลี่ยนเป็นของ RECARO SR III พวงมาลัยตามเทรนด์ต้องก้านยกจาก OMP หัวเกียร์อะลูมิเนียมของ TRUST ส่วนตัวเรือนไมล์วัดความเร็วเลือกใช้ของ KNIGHTSPORTS 300 กม./ชม. นอกจากนั้นยังมีเกจ์วัดเพิ่มเติมจาก BLITZ สำหรับวัดบูสต์เทอร์โบ วัดแรงดันน้ำมัน RSM จาก A'PEXi และปรับบูสต์ไฟฟ้า GREDDY PROFEC B SPEC II พร้อมกับเครื่องเสียงที่อัพเกรด HEAD UNIT ของ JVC KD-SH9105 อีควอไลเซอร์ EARTHQUAKE เพาเวอร์แอมป์ ARC5150 CXL R ลำโพงเสียงกลาง-แหลมจาก FOCAL และ ซับ BAZOOKA EL SERIES
13B-REW + T78 MICRO TECH MTX-8


     นอกจากเครื่องยนต์ ROTORY ที่ประจำการอยู่กับบอดี้นี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ยังมีเพื่อน ๆ บางกลุ่มหันไปวางเครื่องยนต์รหัส SR20DET กันอยู่บ้าง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจและการนำไปใช้งาน แต่สำหรับคันนี้ยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้เครื่องตระกูลอื่นแน่นอน ยังเป็น 13B-REW 654 x 2 ซี.ซี. เวอร์ชั่นสองของบอดี้นี้ จะมีแรงม้าอยู่ที่ 265 แรงม้า SEQUENTIAL TWIN TURBO SYSTEM (ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละปีที่ผลิตนั้นมีแรงม้าที่แตกต่างกัน โดยเริ่มจากเวอร์ชั่นแรก จะมีแรงม้า 255 ตัว ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.0 กก.-ม. ที่ 5,000รอบ/นาที เวอร์ชั่นที่สอง 265 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดเท่ากัน และเวอร์ชั่นที่สาม 280 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.0 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที) หลังจากนั้นได้นำไปโมดิฟายต่อที่อู่ DREAM SPORTS โดยการขยายพอร์ตแบบ STREET PORT 1 ซม. APEX SEAL ชุดกันรั่วเปลี่ยนเป็นของซิ่งเพื่อความทนทาน ส่วนหัวฉีดเปลี่ยนหัวฉีดชุดแรกให้ใหญ่ขึ้นเป็น 850 ซี.ซี. ส่วนหัวฉีดชุดที่สองยังขนาดเท่าเดิม 850 ซี.ซี. โดยใช้ REGULATOR จาก HKS ควบคุมแรงดันที่มาจากปั๊มน้ำมันแรงดันสูงจาก BOSCH ส่วนระบบไฟจุดระเบิดเปลี่ยนคอยล์เป็นของ BOSCH แบบ DIRECT COIL ทั้งหมด 4 ตัว เปลี่ยนหัวเทียนเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์โรตารี่จาก NGK BUR9

     ระบบแรงดันอากาศจากเทอร์โบคู่เปลี่ยนมาเป็นเทอร์โบเดี่ยวของ GREDDY T78-33D ติดตั้งอยู่บนเฮดเดอร์สเตนเลสจากค่าย FEED คุมแรงดันบูสต์ 0.8 บาร์ ถึง 1.2 บาร์ ด้วยเวสต์เกตแยกจาก GREDDY TYPE R ด้านระบบไอดีเปลี่ยนท่ออะลูมิเนียม เริ่มจาก FRONT PIPE เปลี่ยนเป็นของ FEED พร้อม BLOW OFF VALVE จาก HKS รุ่น SSQV และอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่เต็มช่องกันชนหน้าจาก BLITZ และออยล์คูลเลอร์เดิม วางอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งหมดถูกควบคุมการสั่งจ่ายโดย MICRO TECH MTX-8 จูนอัพโดย DREAMSPORT ระบบส่งกำลังเป็นแบบแมนวล 5 สปีด กับชุดคลัตช์ซิ่งทนทานกับงานหนัก ๆ จาก OS GIKEN แบบ TWIN PLATE ตัดต่อกำลังไปสู่เฟืองท้ายอัตราทด 4.1
ช่วงล่าง TEIN HA ล้อ WORK EMOTION CR KAI

     ระบบการทำงานรองรับแรงสั่นสะเทือนส่วนต่าง ๆ หน้า-หลังเป็นแบบ DOUBLE WISHBONE หรือปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง ปรับแต่งตัวโช้คอัพที่สามารถปรับความสูง-ต่ำด้วยสตรัทปรับเกลียว รวมทั้งความหนืดของตัวโช้คได้จาก TEIN รุ่น HA ค้ำโช้คหน้าเดิม ระบบเบรกหน้าแบบ 4 พอร์ต หลัง 2 พอร์ต ล้อของ WORK รุ่น EMOTION CR หน้าขนาด 17 x 8.5 นิ้ว และ 18 x 9.5 นิ้ว ยางหน้า DUNLOP DIREZZA ขนาด 235/45 R17 และยางหลัง YOKOHAMA DAVAN NEOVA ขนาด 265/35 ZR18

     ขอขอบคุณน้องชาย ที่สละเวลาก่อนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ นำรถคันโปรดตั้งแต่ป้ายแดงมาให้ทีมงานนำเสนอ รวมทั้ง DREAM SPORTS กับข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งการโมดิฟายส่วนต่าง ๆ โทร. 08-1623-1001, 0-2907-7829-30

อุปกรณ์และวิธีการเล่นพันธุ์วัวชนเป็นพันธุ์ไทยเฉพาะ เจ้าของจะผสมพันธุ์วัวชนของตนเอง แล้วคัดเลือกวัวลูกคอกที่มีลักษณะดี นำมาเป็นวัวชน อายุ ๔-๖ ปี จัดว่าอยู่ในวัยหนุ่มถึกเต็มที่เหมาะที่จะชน

การเลี้ยงดู ในระยะแรกต้องเอาวัวที่คัดเลือกไว้นั้นมา "ปรน" (บำรุงเลี้ยงดู) ให้สมบูรณ์เสียก่อน ในกรณีที่เป็นวัวใหม่ อาหารหลักคือหญ้า วัวชนนั้นจะต้องตัดหญ้าใส่ลังหรือรางให้กินในโรงวัวหรือที่พักของวัว ไม่ปล่อยให้กินหญ้าเหมือนวัวประเภทอื่น ๆ อาหารหลักอย่างอื่นมีน้ำและเกลือ สำหรับน้ำจะต้องให้วัวกินละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง เกลือให้กิน ๑๕ วันต่อครั้ง ครั้งละ๑ กำมือ หรืออาจจะมากน้อยไปกว่านั้นก็ได้ อาหารเสริมสำหรับวัวชนมีหลายอย่าง เช่น ถั่วเขียวต้มกับน้ำตาลกรวด กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม น้ำมะพร้าวอ่อน ขนุน ไข่ไก่และผลไม้อื่น ๆ สำหรับไข่ไก่ให้วัวชนกินครั้งละ ๑๐ ถึง ๑๕ ฟอง อาจจะเอาไข่ไก่ตีคนกับเบียร์ดำใส่กระบอกกรอกให้กินก็มี
ที่อยู่ของวัวชน จะปลูกสร้างเป็นโรงนอนให้อยู่ขนาดพอควร แต่ต้องก่อไฟแกลบไล่ยุงและริ้น ไม่ให้มารบรวนได้ บางตัวที่เจ้าของมีฐานะดี กางมุ้งหลังใหญ่ให้วัวนอน หรืออาจทำมุ้งลวดให้ โรงวัวดังกล่าวจะต้องทำความสะอาดทุกวัน
การออกกำลังกายและฝึกซ้อมก่อนชนวัว ในระยะก่อนชน คนเลี้ยงจะต้องนำวัวเดินหรือวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้ามืดทุกวัน เป็นระยะเวลาทางประมาณ ๕ ถึง ๑๐ กิโลเมตร เมื่อเดินหรือวิ่งในตอนเช้ามืดแล้ว คนเลี้ยงวัวจะนำวัวไปอาบน้ำ ด้วยการขัดสีด้วยแปรง บางตัวฟอกสบู่จนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านดีแล้ว จึงนำมากินหญ้ากินน้ำ แล้วเริ่มตากแดด เรียกว่า "กราดแดด" คือล่ามหรือผูกไว้กลางแดด เพื่อให้วัวชนมีน้ำอดน้ำทน เริ่ม "กราดแดด" ตั้งแต่ ๐๙.๐๐ ถึง ๑๒.๐๐ น. แต่บางตัวจะต้องกราดแดดต่อไปจนถึงบ่ายก็มี เมื่อกราดแดดแล้วก็นำเข้าเพื่อพักผ่อน ให้กินหญ้าให้กินน้ำ พอถึงเวลา ๑๕.๐๐ ถึง ๑๖.๐๐ น. คนเลี้ยงจะนำวัวพาเดินไปยังสนามที่จะชน เพื่อให้คุ้นเคยกับสถานที่ เรียกว่าให้ "ลงที่" ทุกวัน แล้วนำมากลับอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะเข้าที่พัก เพื่อให้กินหญ้ากินน้ำและพักผ่อน จึงเห็นได้ว่าในช่วงเวลาวันหนึ่ง ๆ นั้น คนเลี้ยงวัวชนจะต้องเอาใจใส่โดยกระทำต่อวัวของตนเป็นกิจวัตรประจำวัน
การซ้อมคู่ การซ้อมคู่ หรือปรือวัว จะใช้เวลาประมาณ ๕-๑๐ นาที และต้องใช้เชือกยาว เพื่อสะดวกในการแยกคู่ออกจากกันเมื่อต้องการหยุดซ้อม การซ้อมคู่ทำได้ประมาณ ๑-๒ ครั้งต่อเดือน วัวชนตัวหนึ่งๆ ต้องซ้อมคู่อย่างน้อย ๔-๕ ครั้ง จึงจะทำกันชนได้
การเปรียบวัว การเปรียบวัว คือการจับคู่ชน นายสนามจะเป็นผู้นัดวันเปรียบวัวโดยให้นำวัวที่จะชนกันมาเข้ายืนเทียบกัน เพื่อพิจารณาความสูงต่ำ เล็กใหญ่ของลำตัว และเขาของวัวทั้งสอง เมื่อเจ้าของวัวตกลงจะชนกัน นายสนามจะกำหนดวันชนซึ่งเจ้าของวัวจะต้องปฏิบัติตามกติกาการชนวัวอย่างเคร่งครัด

โอกาสหรือเวลาที่เล่น
การชนวัวมักจะชนในเทศกาลสงกรานต์ และเทศกาลเดือนสิบ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวบ้านหยุดการทำงาน มารื่นเริงสนุกสนานตามเทศกาล บางสนามวัวชนจะมีการชนวัว เดือนละครั้ง ในวันเสาร์และอาทิตย์ หรือแล้วแต่โอกาสอันเป็นที่ตกลงนัดหมาย

แนวคิด
กีฬาชนวัวเป็นกีฬาพื้นเมืองของนครศรีธรรมราช มีกติกาชัดเจนถึง ๑๔ ข้อ จนถึงขั้นแพ้ชนะ ให้ความสนุกสนานตื่นเต้นประทับใจแก่ผู้ชมยิ่ง ในระยะแรกจึงเชื่อกันว่า ชนเล่นเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว แต่ต่อมามีการพนันกันขึ้น มีการมัดจำวางเงินเดิมพันกัน จึงเป็นที่น่าวิตกว่ากีฬาชนวัวอาจก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา เพราะการพนันย่อมมีทั้งผู้ได้และผู้เสีย เพื่อป้องกันความไม่สงบเรียบร้อย ทางราชการจึงควรเข้าไปควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีขอบเขตจำกัดให้การชนวัวเป็นเพียงกีฬาพื้นบ้าน เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555


 คำขวัญจังหวัด นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนสยาม
 คำขวัญอำเภอ เสน่ห์เมืองนาทวี ศรีวัดในวัง มนต์ขลังเขาน้ำค้าง รวยยางพารา เนื้อหนาขนุนทอง ลองกองมีชื่อ เลื่องลือสะเดาเทียม
 ที่อยู่ที่ว่าการอำเภอ ต.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา
 หมายเลขโทรศัพท์ 0-7437-1010
 หมายเลขโทรสาร 0-7437-1010
 เว็บไซต์อำเภอ   -
 ข้อมูลทั่วไป

1.ประวัติความเป็นมาอำเภอนาทวี เดิมเป็นที่ตั้งเมืองจะนะ จังหวัดสงขลา ขึ้นกับเมืองสงขลา ต่อมาในรัชกาลที่ 5  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสั่งย้ายเมืองจะนะจากตำบลนาทวีกลับไปตั้งที่ตำบลบ้านนา ครั้นเมื่อได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ได้เปลี่ยนจากเมืองจะนะเป็น "อำเภอจะนะ" และได้ยกฐานะตำบลนาทวีรวมกับท้องที่ตำบลใกล้เคียงตั้งเป็นกิ่งอำเภอนาทวีขึ้นกับอำเภอ
จะนะ และต่อมาได้ยกฐานะเป็น "อำเภอนาทวี"ในปี พ.ศ.2500    
 
2.เนื้อที่/พื้นที่747 ตร.กม.
3.สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน แบ่งเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน 

 ข้อมูลการปกครอง
1.ตำบล.......10.... แห่ง3.เทศบาล..1.....แห่ง
2.หมู่บ้าน....92.... แห่ง4.อบต........10 ... แห่ง

 ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ
1.อาชีพหลัก ได้แก่1. สวนยางพารา
2. สวนผลไม้ ลองกอง, ทุเรียน, เงาะ, ขนุน, จำปาดะ
3. ทำนา และการเลี้ยงสัตว์
 
2.อาชีพเสริม ได้แก่เลี้ยงสัตว์ เช่น วัว สุกร แพะ แกะ 
3.จำนวนธนาคาร
 
มี 4 แห่ง ได้แก่
1. ธนาคารออมสิน                    โทร. 0-7437-1021
2. ธนาคารกรุงไทย                  โทร. 0-7437-1545
2. ธนาคารกรุงเทพ               โทร. 0-7437-1321-3
4. ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ     โทร. 0-7437-1596, 0-7437-1066
4.จำนวนห้างสรรพสินค้ามี - แห่ง

 ด้านสังคม
1.โรงเรียนมัธยม ได้แก่1. โรงเรียนนาทวีวิทยาคม           โทร. 0-7437-1018
2. โรงเรียนทับช้างวิทยาคม         โทร. 0-7437-1042
 
2.มหาวิทยาลัย ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพนาทวี        โทร.074-371805

 ด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของอำเภอ
1. ป่าไม้อุดมสมบูรณ์อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง
2. อุโมงค์ประวัติศาสตร์เขาน้ำค้าง
3. เขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่ากราด
  

 ด้านประชากร
1.จำนวนประชากรทั้งสิ้นรวม 52,607  คน
2.จำนวนประชากรชายรวม 26,332  คน
3.จำนวนประชากรหญิงรวม 26,275 คน
4.ความหนาแน่นของประชากร70.42 คน/ตร.กม.

 ด้านการคมนาคม
1.ทางบก- รถยนต์ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข  42
- สถานีขนส่ง หมายเลขโทรศัพท์  -
- สถานีรถไฟ  หมายเลขโทรศัพท์  -
2.ทางน้ำ- ท่าเรือขนส่งโดยสาร  หมายเลขโทรศัพท์  -
- ท่าแพขนานยนต์        หมายเลขโทรศัพท์  -
3.ทางอากาศ- ท่าอากาศยาน             หมายเลขโทรศัพท์  -

 ด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม
1.ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่1. การผลิตยางพารา
2. ผลไม้ ลองกอง ขนุน จำปาดะ เงาะ ทุเรียน
 
2.ชื่อแหล่งน้ำที่สำคัญได้แก่
      (แม่น้ำ/บึง/คลอง)
คลองนาทวี 
3.โรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่1. บจก.กัมพล พาราวู้ด (2003)   ที่ตั้ง 150 ม.3 ต.คลองทราย 

ชื่อเต็ม :
 ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่
วันเกิด :
 24 มิถุนายน 1987
สถานที่เกิด :
 โรซาริโอ , ประเทศอาร์เจนติน่า
ส่วนสูง :
 69 ซม.(5ฟุต 6นิ้ว)
น้ำหนัก :
 67 กก.
ฉายา :
 เมสซิโดน่า, ลีโอ
ตำแหน่ง :
 กองหน้าตัวต่ำ/กองกลางตัวรุก
นับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"
           ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า 
           เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
           เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์

           แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้
           ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน

           ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว
          เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน

           หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย
          ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก
และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี
แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา

           อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว
ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่
ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่

           แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้

           หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น
อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้
นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย

           แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
          หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา

           หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้
            นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
            จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
messi

โค้ก (Coca-Cola)

โค้กถูกคิดค้นโดย ดร.จอห์น เพ็มเบอร์ตัน ที่เมืองแอตแลนต้าในมลรัฐจอร์เจีย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1886 เภสัชกรท้องถิ่นท่านนี้เป็นผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวานมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเมื่อ ดร.เพมเบอร์ตัน ปรุงหัวเชื้อน้ำหวาน ขึ้นมา ได้สำเร็จในหม้อทองเหลืองสามขา ซึ่งตั้งอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านของเขา ชายผู้นี้ก็รีบถือเหยือกที่บรรจุ น้ำหวานรสชาติใหม่ มุ่งตรงไปยังร้านขายยาจาค็อป ณ ที่นั่น หลายต่อหลายคน ได้ลิ้มลองน้ำหวานของ ดร.เพ็มเบอร์ตัน ต่างก็ชมเป็นเสียง เดียวกันว่า "รสชาติเยี่ยม" หลังจากนั้นไม่นาน ดร.เพ็มเบอร์ตัน ก็เริ่มปรุงเครื่องดื่มชนิดนี้ขายที่ร้านจาค็อปส์โดยคิดราคาแก้วละ 5 เซ็นต์ ต่อมาไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ ได้มีผู้นำน้ำอัดก๊าซคาร์บอนมาผสมกับหัวน้ำหวานที่ ดร.เพ็มเบอร์ตันปรุงขึ้น จนกลายเป็นเครื่องดื่มที่ "สดชื่น ดับกระหาย ได้รสชาติ" แม้จนกระทั่ง ในปัจจุบัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ดื่ม โคคา-โคลา ก็ต้องรู้สึกเช่นนั้น
มร.แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน หุ้นส่วนและสมุหบัญชีของ ดร.เพ็มเบอร์ตัน ออกความ เห็นว่า "ถ้าใช้ตัวอักษร C สองตัว ในโฆษณาเครื่องดื่มชนิดนี้ก็น่าจะเข้าท่าดี" ดังนั้น เขาจึงแนะให้ตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า "Coca-Cola" เมื่อตกลงใจดังนั้น มร.โรบินสัน ก็เขียน คำว่าโคคา-โคลา ด้วยลายมือของเขาเอง ซึ่งต่อมาได้กลาย เป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก โฆษณาชิ้นแรกของ โคคา-โคลา ปรากฎในหนังสือพิมพ์แอตแลนต้า เจอร์นัล มีข้อความเชิญชวนให้ ผู้กระหายน้ำทั้งหลาย หันมาลอง "เครื่องดื่มชนิดใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม"



นอกจากนั้น ยังแขวนป้ายโฆษณาที่ทำจากผ้าอาบน้ำมันไว้ที่กันสาดหน้าร้านจาค็อปส์ โดยมีการระบุคำว่า "โคคา-โคลา" อยู่และเหนือคำว่า โคคา-โคลา ก็เติมคำว่า "ดื่ม" เพื่อให้คนอ่านทราบว่า มีเครื่องดื่มชนิดใหม่วางขายอยู่ในช่วงปีแรก โคคา-โคลา มียอดขายประมาณ 9 แก้ว ต่อวัน ดร.เพ็มเบอร์ตัน ไม่คิดเลยว่าเครื่องดื่มที่เขาคิดค้นขึ้นจะทำกำไรมากมาย เขาจึง จัดแจงขายหุ้นกิจการโคคา-โคลา ในส่วนของเขาให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆจนเกือบหมด หลังจากดำเนินการมาได้ไม่นาน และก่อนหน้าที่ ดร.เพ็มเบอร์ตันจะถึงแก่กรรม เพียงไม่กี่ปี เขาก็ขายหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้กับ อาซา จี. แคนเลอร์ นักธุรกิจ ชาวเมืองแอตแลนต้าผู้มีพรสวรรค์ทางการค้าต่อมา มร.แคนเลอร์ คนนี้เองก็กว้าน ซื้อหุ้นทั้งหมดจนกลายเป็นเจ้าของกิจการ โคคา-โคลา เพียงผู้เดียว


ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที 19 ในระหว่างการบูรณะประเทศหลังสงคราม ผู้ประกอบการพยายามชูโค้กให้เป็นเครื่องดื่มที่ปริ่มล้นด้วยคุณสมบัติของ “ยาบำรุงสมอง” ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะในยุคของ “การสร้างบ้านแปลงเมือง” และในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง โค้กจึงได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่โดยการนำซานตาคลอสมาใช้ในการโฆษณาเพื่อสื่อถึง “ความฟุ่มเฟือยที่ท่านมีกำลังซื้อ” และในหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โค้กได้ก้าวไปพร้อมๆกับโลกที่พยายามแสวงหาสันติภาพ
โค้กมีภาพของอเมริกาที่หรูหรา ร่ำรวย และรักชาติ มีคุณสมบัติที่มองไปข้างหน้าเสมอ ในระยะเริ่มต้นผู้บริโภครักโค้กเพราะโค้กเป็นของใหม่และแตกต่าง และบางทีอาจเป็นเพราะโค้กสามารถรักษาอาการป่วยของพวกเขาได้จริง ต่อมาพวกเขาถือว่าโค้กเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่ผ่านมาและผ่านไป
โค้กใช้เวลาไม่นานก็ประสบความสำเร็จในอเมริการวมและตอกย้ำชัยชนะนั้นไปทั่วโลกกลายเป็นแบรนด์ที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุด

โค้กผ่านศตวรรษแรกของธุรกิจไปด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ผู้ประกอบการได้วางแผนธุรกิจสำหรับอนาคตเพื่อควบคุมธุรกิจจากบนลงล่าง ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท จากยุคแรกๆที่จัดจำหน่ายเพียงหัวเชื้อของผลิตภัณฑ์ ส่วนการบรรจุขวดและจัดจำหน่ายเป็นของผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ดังนั้นโค้กจึงได้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่เป็นโค้กชนิดพกพา นั่นคือการควบรวบทั้งการผลิตหัวเชื้อและการบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่าย ซึ่งส่งผลต่อยอดขายที่มากขึ้นกว่ายอดขายจากการจัดจำหน่ายหัวเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่นั่นกลับทำให้บริษัทโคคา โคล่ายุ่งยากมากขึ้น เมื่อผู้ประกอบการแต่ละรายก็ต่างที่จะแย่งชิงตลาดโค้กขวด ดังนั้นบริษัทโคคา โคล่า จึงต้องล้มล้างอำนาจของผู้ประกอบการเหล่านี้ โดยใช้กลยุทธ์ที่กลับไปสู่จุดเริ่มต้นทั้งหมด



จนกระทั่งปี 1981 โค้กประสบความสำเร็จจากกลุ่มผู้บริหารภายใต้การนำของโรแบร์โต กอยซูเอตาและ ดั๊ก ไอเวสเตอร์ที่มีวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานกลยุทธ์ ได้พลิกตัวเองขึ้นมาใหม่โดยมุ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของนักลงทุนซึ่งทำให้โค้กมีอำนาจผูกขาดในธุรกิจการบรรจุและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
โคคา-โคล่า ถือได้ว่าเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่อยู่ในใจของผู้บริโภคมาตลอดกว่า 100 ปี จนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลกได้

ประวัติ ของ วง มาลีฮวนน่า


มาลีฮวน่าในปีพ.ศ. 2527 กลุ่มนักดนตรีวัยรุ่น จากเด็กบ้านนอก ที่ชอบดนตรีเหมือนกัน ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มารวมตัวกัน มี วิวัฒน์ พังแพร่ เปี๊ยก..แสนบอโด. สมพงศ์ ศิวิโรจน์ สุข…………ดิน(นาสาวกรุณา บุญธรรม) และ ธงชัย รักษ์รงค์ บางคนเดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียง มาอาศัยอยู่วัด ศึกษาเล่าเรียนตามวิทยาลัยต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนจะแยกย้ายกันไปหาทางเลือกในการดำเนินชีวิตของตเองตามความต้องการของแต่ละคน หลายคนไปศึกษาต่อที่กรุงเทพ เมืองในฝันของคนบ้านนอก บางคนก็กลับไปทำนา,เล่นหนัง ตะลุงอย่าง สุข........ปี 2533 - 34 ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่กรุงเทพฯ โดยมี วิวัฒน์ พังแพร่ เป็นผู้ผลักดัน สมพงศ์ ศิวิโรจน์ ธงชัย รักษ์รงค์ และ เปี๊ยก แสนบอโด.. เป็นนักร้องนำ ซึ่งตอนนั้น เปี๊ยก.... ได้อาศัยอยู่กับกลุ่ม พี่ ต๊ะ ตีสองเมือง (producer วงปานามา) และคุณ ชวาลา ชัยมีแรง ก็อยู่ในกลุ่มนี้ มีกิจกรรม แถวหน้ารามคำแหง อันเป็นที่มาของเพลง เรือน้อย,แสงจันทร์(เดิมนางฟ้าอรชร)ปีพ.ศ.2535 คฑาวุธ ทองไทย ได้เข้ามาร่วมงานในหน้าที่นักร้องนำของวงในภายหลัง เนื่องจาก เปี๊ยก แสนบอโด ไม่สามารถทำหน้าที่นักร้องนำได้ โดยการเสนอแนะจาก สมพงศ์ ศิวิโรจน์ พร้อมกับ บุญมา สองเมือง (วงมาตาฮารี) แต่ธงชัยและวิวัฒน์ ไม่สามารถ ตกลงกันได้ด้วยเพราะการทำงานทางด้านดนตรีทั้งสองคน ไม่เหมือนกับ เปี๊ยก ซึ่งหลากหลายกว่า จึงทำให้การทำงานเพลงต้องหยุดค้างไว้ธงชัยจึงนำเพลงต่างๆ ที่ประพันธ์ไว้เสร็จสมบูรณ์ มีเพลง เรือรักกระดาษ,หัวใจพรือโฉ้,เด็กน้อย,รักสาวพรานนก,นักเรียนจนๆ ฯลฯ ลงไปทำต่อที่ภาคใต้กับเพื่อนๆ นักดนตรีที่เคยร่วมเล่นกันมาตามสถานที่ต่างๆ เช่น จังหวัดสุราษฎ์ธานี เกาะสมุย จังหวัดกระบี่ และภูเก็ต ต่อมากลุ่มทำงานศิลปะและดนตรีรุ่นพี่ กลุ่มด้ามขวานได้ขออนุญาตนำเพลง เด็กน้อย จาก สมพงศ์ ศิวิโรจน์ ไปบันทึกเทป อัลบั้ม คะยั้นคะยอ ใช้ชื่อวงดนตรีว่า "ด้ามขวาน" ออกจำหน่ายในนามอิสระประมาณปลายปี 2536 และนำกลุ่มมาลีฮวนน่ามารู้จักกับ โมริ studio ในเวลาต่อมาของต้นปี 2537ก่อนหน้านั้น ธงชัย รักษ์รงค์ เล่นดนตรีรับจ้างที่จังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งข่าวจาก สมพงศ์ ให้ ธงชัย ขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อทำเพลงให้เสร็จและตกลงจะมีสมาชิกในวงคือ สมพงศ์ ศิวิโรจน์ ธงชัย รักษ์รงค์วิวัฒน์ พังแพร่ และคฑาวุธ ทองไทย เป็นนักร้องนำสมพงศ์ ได้นำคำภาษาอังกฤษ "MARIHUANA" อ่านว่า "แมร ริ ฮัว น่า" มาร่วมคิดหาชื่อวงกับธงชัย และธงชัย เสนอข้อคิดเห็นว่า ถ้าหากนำคำสามัญมาตั้งเป็นชื่อทางการค้า อาจทำให้ผู้อื่นนำชื่อวงไปหาผลประโยชน์ได้ในภายหลัง จึงตกลงที่จะเปลี่ยนชื่อ เป็นคำประดิษฐ์ว่า "มาลีฮวนน่า" เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "MALEEHUANA"คฑาวุธ เป็นครูสอนที่ ร.ร. สาธิตศิลปากร นครปฐม เป็นเหตุให้สมพงศ์ และ ธงชัย ต้องไปซ้อมดนตรีเตรียมความพร้อมที่ทับแก้ว นครปฐม ทำให้วิวัฒน์ไม่สะดวกเพราะทำงานประจำที่วัดพระแก้วพระราชวังหลวง) ทำให้เดินทางมาทำงานด้วยกันไม่สะดวก จึงขอยุติบทบาทในครั้งนั้น ทำให้มีความยากลำบากในการทำงานมากขึ้น เพราะไม่มีนักดนตรีเหลือให้ทำงานเลย สมพงศ์ ซึ่งรับหน้าที่ประพันธ์เพลงเป็นหลักอยู่แล้ว จึงไม่สามารถช่วยงานทางด้านดนตรีได้มากนักรายชื่อเพลงในอัลบั้ม "บุปผาชน"1. ลมเพลมพัด ที่ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดย คฑาวุธ ทองไทยและธงชัย รักษ์รงค์ เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง ทำนองเพิ่มเติมจนเสร็จสมบูรณ์ คือท่อนคำร้อง ทำนอง ว่า ลมเพลมผวน หวนให้คิดคำนึง ถึงบทเพลงแห่งความฝัน ให้ตัวเจ้าด้วยใจฉัน เกินกว่าตัวฉันจะพรรณณา แค่อยากให้เจ้ารับรู้เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง2. หัวใจละเหี่ย ประพันธ์คำร้องทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์3. วิถีคนจร ประพันธ์คำร้องโดยสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ทำนองธงชัย รักษ์รงค์4. นิรันดร์ ประพันธ์คำร้องโดยสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ทำนองโดยธงชัย รักษ์รงค์5. ไปไกล ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์6. เรือรักกระดาษ ประพันธ์คำร้องทำนองโดยสมพงศ์ ศิวิโรจน์7. หัวใจพรือโฉ้ ประพันธ์คำร้องทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์8. ลานนม-ลมเน ประพันธ์คำร้องทำนองโดย เชิดชัย ศิริโภคาและสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ธงชัย รักษ์รงค์ เขียนคำร้องทำนองเพิ่มเติมในท่อนที่ว่า ลานนมลมเนเหมือนดั่งสวรรค์ รักร้อยแสงจันทร์บุปผามาลัย จนจบ9. รักสาวพรานนก ประพันธ์คำร้องทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์10. ชุ่มฉ่ำในดวงใจ ประพันธ์คำร้องทำนองโดยมาลีฮวนน่า ได้ร่วมกันประพันธ์เพื่อรำลึกถึงการทำงานร่วมกันที่สระน้ำในมหาลัยศิลปากร ทับแก้วจังหวัดนครปฐม การทำงานตอนนั้นมีน้องๆ ของสมพงศ์ เพื่อนๆ คฑาวุธ อยู่หลายคน มีคุณติ๊ก,สยาม,ตุ๋ย,ทวี,อาร์ท,กล้า,โก้ย,ตาล ฯลฯ ทุกคนต่างให้กำลังใจกับมาลีฮวนน่ามาก ธงชัยและสมพงศ์ จึงนำ เชิดชัย ศิริโภคา (โก้ย) ซึ่งเป็นเพื่อนของคฑาวุธ มาเป็นสมาชิกแทนวิวัฒน์ที่แยกตัวออกไป สมพงศ์เล่นกีต้าร์เพียงเพื่อประพันธ์เพลงเท่านั้น คฑาวุธ ก็ร้องเพลงได้อย่างเดียว ส่วนเชิดชัย ศิริโภคา ก็ไม่ถนัดในเรื่องดนตรีมากนัก ภาระต่างๆ ในเรื่องดนตรีจึงตกมาอยู่ที่ธงชัยเพียงคนเดียว โชคดีที่คุณฮิเดกิ โมริ ช่วยเล่นดนตรีให้กับมาลีฮวนน่าจเสร็จสิ้นเป็นมาสเตอร์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2537 ในอัลบั้มแรกชื่อว่า "บุบผาแห่งเสียงเพลง"ธงชัยและสมพงศ์ นำมาสเตอร์ไปให้ บริษัท ออนป้า ผลิตเป็นเทบออกมา 2,500 ม้วน ออกวางจำหน่ายตามร้านขายเทปต่างๆ เช่น ร้านน้องท่าพระจันทร์ คลองสาร สวนจตุจักร และตามสถานบันการศึกษาต่างๆ ในสถานะกลุ่มเทปใต้ดินจนกระทั่งคุณมาโนช พุฒตาล เจ้าของบริษัท ไมล์สโตน จำกัด ได้ฟังเพลง และ สนใจจึงนำเข้าสังกัด บริษัทไมล์สโตน เรคคอร์ด จำกัด และออกจำหน่ายทั่วประเทศในวันที่ 23 พ.ย. 2537 โดยเปลี่ยนชื่ออัลบั้ม จากบุปผาแห่งเสียงเพลง มาเป็น "บุปผาชน"เมื่อวงมาลีฮวนน่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟนเพลงทั่วประเทศ ก็เจอปัญหากับการแสดงดนตรีต่อกลุ่มแฟนเพลง เพราะนักดนตรีที่เคยเล่นด้วยกันได้อย่างดีคือ วิวัฒน์ พังแพร่ เปี๊ยก แสนบอโด ต้องออกไปจากวงก่อนหน้านั้น ภารกิจหนักจึงตกมาที่ ธงชัย รักษ์รงค์ เพียงคนเดียว จึงจำเป็นต้องหานักดนตรีรับจ้างมาเพื่อเป็นBACK UP และเตรียมความพร้อมในอัลบั้มที่ 2 ไปด้วยธงชัย จึงไปสร้างห้องบันทึกเสียงที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และชักนำกลุ่มเพื่อนนักดนตรีที่เล่นในผับหาดใหญ่ มาร่วมงานคือ สุรพงษ์ เรืองณรงค์ อรรณพ อินทรภักดี ไพฑูรย์ รักษ์รงค์ และนัดนตรีรุ่นใหม่ๆ มาฝึกงานในห้องบันทึกเสียงเช่น มนเฑียร แสงสุวรรณ เอ้ ฯลฯธงชัย ได้ร่วมทำงานเพลงกับศิลปินท้องถิ่นต่างๆ เช่น วงเช-รา หนุ่ย ชัยวัฒน์ อัลบั้มรัก กศน. ฯลฯ จนกระทั่งมาลีฮวนน่าได้ทำอัลบั้มที่ 2 ก็ออกวางจำหน่ายในปี 2539 ชื่อชุดว่า คนเช็ดเงา และได้เข้ามาจัดการออกแบบภาพปก โดยมอบหมายให้ ตัวเอียด ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มมาลีฮวนน่า เป็นผู้ออกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานศิลปะของวงมาลีฮวนน่า ทำให้จินตนาการของแฟนเพลงที่ได้รับสามารถเข้าใจในงานที่นำเสนอได้ละเอียดขึ้นอัลบั้มคนเช็ดเงานี้ มีเพลงต่างๆ ดังนี้1. เพลงเขเรือ ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดย สุมิตร นวลมณี2. หมาหยอกไก่ ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์3. ร้องไห้กับเดือน ประพันธ์คำร้องโดยสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ทำนองโดยธงชัย รักษ์รงค์4. เด็กน้อย ประพันธ์คำร้องโดยสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ทำนองโดย ธงชัย รักษ์รงค์5. คนเช็ดเงา ประพันธ์คำร้องทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์6. ชะตากรรม ประพันธ์คำร้องทำนองโดย สมพงศ์ ศิวิโรจน์7. โมรา ประพันธ์คำร้องทำนองโดยคฑาวุธ ทองไทยแล ะเชิดชัย ศิริโภคา8. ฝุ่น ประพันธ์คำร้องโดยคฑาวุธ ทองไทยและธงชัย รักษ์รงค์ ทำนองโดย ธงชัย รักษ์รงค์9. คนเลว ประพันธ์คำร้องทำนองโดยกนกพงศ์ สงสมพันธุ์10. คืนใจ ประพันธ์คำร้องทำนองโดยคฑาวุธ ทองไทยและเชิดชัย ศิริโภคา ยังคงสังกัดบริษัท ไมล์สโตนเรคคอร์ด จำกัดการเผยแพร่อัลบั้มที่ 2 นี้ สมาชิกมาลีฮวนน่า คือ เชิดชัย ศิริโภคา ก็ยุติบทบาทไป การแสดงของวงมาลีฮวนน่ายังขาดนักดนตรีมืออาชีพเข้ามาเสริมในตำแหน่งที่ว่างอยู่ จึงนำนักดนตรีเล่น เบส สุรพงษ์ เรืองณรงค์ คีบอร์ด อรรณพ อินทรภักดี แอคคอเดียน ขลุ่ย ไพฑูรย์ รักษ์รงค์ และนำเพลง เขเรือ ซึ่งประพันธ์โดย คุณสุมิตร นวลมณี เข้ามาเสริมเพื่อความสมบูรณ์ของอัลบั้ม เพลงคนเลว ของนักเขียนกวีซีไรท์ ปี 2539 คือ คุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวงสะพาน เป็นกลุ่มนักเขียนนักประพันธ์เพลงอีกกลุ่มหนึ่งของภาคใต้ เช่น กิ๊ฟ ชาญณรงค์ เที่ยงธรรม ฯลฯ

ความเป็นมาของอาเซียน (ASEAN)

   
ความเป็นมาของอาเซียน
อาเซียนหรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Assciation of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ(The Bangkok Declaration ) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ได้ลงนามใน    
            
“ปฏิญญากรุงเทพฯ” (Bangkok Declaration) เพื่อจัดตั้งสมาคมความร่วมมือกันในการเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การพัฒนาวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคง ในพื้นที่และเป็นการเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติของระดับภูมิภาคของประเทศต่างๆ ในเอเชีย ในเวลาต่อมาได้มี บูรไนดารุสซาราม  (เข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ 8 มกราคม 2527)สาธารณรัฐสังคมคมนิยมเวียดนาม (เข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ 28 กรกฎาคม 2538) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ 23 กรกฎาคม 2540) สหภาพพม่า (เข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ 23 กรกฎาคม 2540) ราชอาณาจักรกัมพูชา (เข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ 30 เมษายน 2542) ตามลำดับทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10ประเทศ   
วัตถุประสงค์หลัก
                           ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
      1.  ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี
           วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
      2.  ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
      3.  เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
      4.  ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
      5. ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
      6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
      7. เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ  
          และองค์การระหว่างประเทศ
                        ตลอดระยะเวลา กว่า 40ปีที่มีการก่อตั้งอาเซียน ถือว่าได้ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองเเละความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งประเทศไทยได้รับ ประโยชน์อย่างมากจากความร่วมือต่างๆของอาเซียน   ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์จากการที่ภูมิภาค เป็นเสถียรภาพและสันติภาพ อันเป็นผลจากกรอบความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความร่วมือด้านสังคมและ วัฒนธรรม ซึ่งถ้าหากไม่มีความร่วมมือเหล่านี้แล้ว คงเป็นการยากที่จะพัฒนาประเทศได้โดยลำพัง   กลับด้านบน


การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ครั้งที่
วันที่
ประเทศเจ้าภาพ
สถานที่จัดตั้งการประชุม
ครั้งที่ 1
23-24 กุมภาพันธ์ 2519
ประเทศอินโดนีเซีย
บาหลี
ครั้งที่ 2
4-5 สิงหาคม 2520
ประเทศมาเลเซีย
กัวลาลัมเปอร์
ครั้งที่ 3
14-15 ธันวาคม 2530
ประเทศฟิลิปปินส์
มะนิลา
ครั้งที่ 4
27-29 มกราคม 2535
ประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์
ครั้งที่ 5
14-15 ธันวาคม 2538
ประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร
ครั้งที่ 6
15-16 ธันวาคม 2541
ประเทศเวียดนาม
ฮานอย
ครั้งที่ 7
5-6 พฤศจิกายน 2544
ประเทศบูรไนดารุสซาราม
บันดาร์เสรีเบกาวัน
ครั้งที่ 8
4-5 พฤศจิกายน 2545
ประเทศกัมพูชา
พนมเปญ
ครั้งที่ 9
7-8 ตุลาคม 2546
ประเทศอินโดนีเซีย
บาหลี
ครั้งที่ 10
29-30 พฤศจิกายน 2547
ประเทศลาว
เวียงจันทน์
ครั้งที่ 11
12?14 ธันวาคม 2548
ประเทศมาเลเซีย
กัวลาลัมเปอร์
ครั้งที่ 12
11?14 มกราคม 25501
ประเทศฟิลิปปินส์
เซบู
ครั้งที่ 13
18?22 พฤศจิกายน 2550
ประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์
ครั้งที่ 14
27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2552
10-11 เมษายน 2552
ประเทศไทย
ชะอำ, หัวหิน
พัทยา
ครั้งที่ 15
23-25 ตุลาคม 2552
ประเทศไทย
ชะอำ, หัวหิน
ครั้งที่
8-9 เมษายน 2553
ประเทศเวียดนาม
ฮานอย

หลักการพื้นฐานของความร่วมมืออาเซียน
        ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้ยอมรับในการปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน ในการดำเนินงานในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกัน อันปรากฏอยู่ในกฎบัตรอาเซียนซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของอาเซียน ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2551 และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia หรือ TAC) ซึ่งประกอบด้วย

- การเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณาการแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ประจำชาติของทุกชาติ
- สิทธิของทุกรัฐในการดำรงอยู่โดยปราศจากจากการแทรกแซง การโค่นล้มอธิปไตยหรือการบีบบังคับจากภายนอก
- หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน
- ระงับความแตกต่างหรือข้อพิพาทโดยสันติวิธี
- การไม่ใช้การขู่บังคับ หรือการใช้กำลัง
- ความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างประเทศสมาชิก
          นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงช่วงก่อนที่กฎบัตรอาเซียนมีผลบังคับใช้               อาเซียนยึดถือหลักการฉันทามติเป็นพื้นฐานของกระบวนการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย มาโดยตลอด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การที่อาเซียนจะตกลงกันดำเนินการใดๆ ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดทั้งสิบประเทศ จะต้องเห็นชอบกับข้อตกลงนั้นๆ ก่อน
        
           
                  การที่อาเซียนยึดมั่นในหลัก ‘ฉันทามติ” และ “การไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน’ หรือที่ผู้สังเกตการณ์อาเซียนเรียกว่า ‘วิถีทางของอาเซียน’ (ASEAN’s Way)ในทางหนึ่งนั้น ก็ถือเป็นผลดีเพราะเป็นปัจจัย ที่ทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ในเรื่องระบบการเมือง วัฒนธรรมและฐานะทางเศรษฐกิจ มีความ ‘สะดวกใจ’ ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก และดำเนินความร่วมมือในกรอบอาเซียน แต่ในอีกทางหนึ่ง“ฉันทามติและ “การไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน”ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหลายโอกาสว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระบวน การรวมตัวกันของอาเซียนเป็นไปอย่างล่าช้า รวมถึงทำให้อาเซียนขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากถูกมองว่ากลไกที่มีอยู่ ของอาเซียน ล้มเหลว ในการจัดการกับปัญหา ของอาเซียนเองที่เกิดขึ้นในประเทศสมาชิกใดประเทศสมาชิกหนึ่งได้ อย่างไรก็ดี การยึดถือฉันทามติในกระบวนการตัดสินใจ ของอาเซียน ได้เริ่มมี ความยืดหยุ่นมากขึ้นหลังจากที่กฎบัตรอาเซียน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551  เนื่องจาก กฎบัตรอาเซียนได้เปิดช่องให้ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน พิจารณาหาข้อยุติในเรื่องที่ประเทศสมาชิกไม่มีฉันทามติได้

โครงสร้างของอาเซียน
โครงสร้างของอาเซียนจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้
สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat)
            สำนักเลขาธิการอาเซียนได้จัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงที่ลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 1 ในปี 2519 เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและดำเนินงาน
ตามโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมอาเซียน และเป็นศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างสมาคมอาเซียน คณะกรรมการ ตลอดจนสถาบันต่าง ๆ และรัฐบาลของประเทศสมาชิก
            สำนักเลขาธิการอาเซียนตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซียโดยมีหัวหน้าสำนักงานเรียกว่า “เลขาธิการอาเซียน” ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 35 ได้แต่งตั้งนาย Ong Keng Yong” ชาวสิงคโปร์ เป็นเลขาธิการอาเซียนคนใหม่แทนนาย Rodolfo C. Severino Jr. เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน โดยจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 5 ปี (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2546) และมีรองเลขาธิการอาเซียนจำนวน 2 คน (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโดยชาว มาเลเซียและเวียดนาม)
สำนักงานอาเซียนแห่งชาติ หรือกรมอาเซียน (ASEAN National Secretariat)
           เป็นหน่วยงานในกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิก ซึ่งแต่ละประเทศได้จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบ ประสานงานเกี่ยวกับอาเซียนในประเทศนั้น ๆ และติดตามผลของการดำเนินกิจกรรม/ความร่วมมือต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดตั้งกรมอาเซียนให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงานด้านอาเซียนดังกล่าว  กลับด้านบน



กฏบัตรอาเซียน
         เป็นร่างสนธิสัญญาที่ทำร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นเครื่องมือ ในการวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรของสมาคม ทั้งนี้เพกฎบัตรอาเซียน เป็นร่างสนธิสัญญา ที่ทำร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการวาง กรอบทาง กฎหมายและโครงสร้างองค์กรของสมาคม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียน ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียน ได้ตกลงกันไว้ตามกำหนดการ จะมีการจัดทำร่างกฎบัตรอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัว เป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ตามกำหนดการ จะมีการจัดทำร่าง กฎบัตรอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550